ระยะห่างของการถัก ความสูงของโครงถัก ความยาวช่วงทั้งหมดโครงถัก ควรมีอัตราส่วนเป็นเท่าไหร่?
หมายเหตุ: โครงถัก หรือ โครงทรัส (Truss) ความหมายเดียวกัน การออกแบบโครงถัก และขนาดความลึกที่เหมาะสมของโครงถัก STEEL TRUSS โครงถักออกเป็น 2 รูปแบบหลักๆ คือ
(1) โครงถักแบบท้องเรียบ (ความลึกเท่ากันตลอดทั้งความยาว)
(2) โครงถักแบบจั่ว (ชนิดมีความลึกที่ปลายด้วย)
(3) โครงถักแบบจั่ว (ชนิดไม่มีความลึกที่ปลายเลย)
จากภาพ
H เป็นระยะความสูงของโครงถักแบบเรียบ (ความลึกเท่ากันตลอดทั้งความยาว) และ โครงถักแบบจั่ว (ชนิดไม่มีความลึกที่ปลายเลย)
Hmax เป็นระยะความสูงมากที่สุดของตัวโครงถักแบบจั่ว (ชนิดมีความลึกที่ปลายด้วย)
Hmin เป็นระยะความสูงน้อยที่สุดของตัวโครงถักแบบจั่ว (ชนิดมีความลึกที่ปลายด้วย)
W เป็นระยะห่างของการถักของชิ้นส่วนด้านที่รับ แรงอัด ในตัวโครงถัก
L เป็นความยาวช่วงทั้งหมดระหว่างเสาถึงเสาที่รองรับตัวโครงถัก
เราจะสามารถทำการประมาณค่าขนาดความลึกของโครงถักโดยแบ่งได้จากเกณฑ์เรื่องขนาดความยาวของโครงถักได้ดังนี้
ภาพ (A) โครงถักแบบเรียบ (ความลึกเท่ากันตลอดทั้งความยาว)
(A1) กรณีหากระยะ L มีค่าน้อยกว่า 20 M
ค่า H อาจใช้ไม่เกิน 0.05L
ค่า W อาจใช้ไม่เกิน 0.05L
(A2) กรณีหากระยะ L มีค่ามากกว่า 20 M
ค่า H อาจใช้ตั้งแต่ 0.05L แต่ ไม่เกิน 0.08L
ค่า W อาจใช้ตั้งแต่ 0.05L แต่ ไม่เกิน 0.08L
ภาพ (B) โครงถักแบบจั่ว (ชนิดมีความลึกที่ปลายด้วย)
(B1) กรณีหากระยะ L มีค่าน้อยกว่า 20 M
ค่า Hmax อาจใช้ไม่เกิน 0.04L
ค่า Hmin อาจใช้ไม่เกิน 0.02L
ค่า W อาจใช้ไม่เกิน 0.04Hmax
(B2) กรณีหากระยะ L มีค่ามากกว่า 20 M
ค่า Hmax อาจใช้ตั้งแต่ 0.04L แต่ ไม่เกิน 0.06L
ค่า Hmin อาจใช้ตั้งแต่ 0.02L แต่ ไม่เกิน 0.03L
ค่า W อาจใช้ตั้งแต่ 0.6Hmax แต่ ไม่เกิน 0.9Hmax
ภาพ (C) โครงถักแบบจั่ว (ชนิดไม่มีความลึกที่ปลายเลย)
(C1) กรณีหากระยะ L มีค่าน้อยกว่า 20 M
ค่า H อาจใช้ไม่เกิน 0.08L
ค่า W อาจใช้ไม่เกิน 0.40Hmax
(C2) กรณีหากระยะ L มีค่ามากกว่า 20 M
ค่า H อาจใช้ตั้งแต่ 0.08L แต่ ไม่เกิน 0.12L
ค่า W อาจใช้ตั้งแต่ 0.40H แต่ ไม่เกิน 0.60H
หากเรามีโครงถักแบบจั่ว (ชนิดมีความลึกที่ปลายด้วย) ที่มีความยาวช่วงเท่ากับ 30 M เราจะต้องใช้กรณีที่ B2 ในการคำนวณ คือ
ค่า Hmax จะเท่ากับ 0.05×30 = 1.5 M → ใช้ 1.5 M
ค่า Hmin จะเท่ากับ 0.025×30 = 0.75 M → ใช้ 1 M
ค่า W จะเท่ากับ 0.75×1.5 = 1.125 M → ใช้ 1 M
วิธีในการประมาณค่าข้างต้นนี้เป็นเพียงแนวทางในเบื้องต้นเท่านั้น ควรปรึกษาวิศวกรทีมีความชำนาญเพราะมีปัจจัยอื่นๆเช่น การรรับน้ำหนัก วัสดุที่ใช้ เป็นต้น